การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษา เปรียบเทียบ หาความสัมพันธ์ หาอำนาจพยากรณ์ และหาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารในยุคปกติใหม่ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานของครู ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและครูผู้สอน ในปีการศึกษา 2567 จำนวน 300 คน จำแนกเป็นผู้บริหาร จำนวน 65 คน และครูผู้สอน จำนวน 235 คน จากจำนวน 65 โรงเรียน ซึ่งกำหนดกลุ่มตัวอย่างจากการเทียบตารางของเครจซี่และมอร์แกน โดยใช้การสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในวิจัยเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ซึ่งแบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารในยุคปกติใหม่ มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.361 - 0.762 มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.952 และแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิผลการปฏิบัติงานของครู มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.495 - 0.852 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.935 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที t – test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแต่ละขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารในยุคปกติใหม่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ประสิทธิผลการปฏิบัติงานของครู โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก 3. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารในยุคปกติใหม่ จำแนกตามสถานภาพการดำรงตำแหน่ง โดยรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และจำแนกตามเขตที่ตั้งของโรงเรียน โดยรวม ไม่แตกต่างกัน 4. ประสิทธิผลการปฏิบัติงานของครู จำแนกตามสถานภาพการดำรงตำแหน่งและเขตที่ตั้งของโรงเรียน พบว่า โดยรวม ไม่แตกต่างกัน 5. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารในยุคปกติใหม่ (X) กับประสิทธิผลการปฏิบัติงานของครู (Y) มีความสัมพันธ์ทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 อยู่ในระดับสูง (rXtYt=0.753**) 6. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารในยุคปกติใหม่ที่สามารถพยากรณ์ประสิทธิผลการปฏิบัติงานของครู โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คือด้านการใช้เทคโนโลยีสนับสนุนและส่งเสริมการกระตุ้นทางปัญญา (X6) ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคลในการปรับเปลี่ยนสู่ยุคปกติใหม่ (X3) และด้านการมีวิสัยทัศน์เท่าทันการเปลี่ยนแปลง (X1) โดยสามารถพยากรณ์ได้ร้อยละ 57.40 และมีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการพยากรณ์เท่ากับ ±0.290 7. การวิจัยในครั้งนี้ได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารในยุคปกติใหม่ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานของครู เสนอแนะไว้ 3 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการใช้เทคโนโลยีสนับสนุนและส่งเสริมการกระตุ้นทางปัญญา คือ อบรม พัฒนาทักษะเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้รู้เท่าทันเทคโนโลยีและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ 2) ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคลในการปรับเปลี่ยนสู่ยุคปกติใหม่ คือ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล พัฒนาทุกคนอย่างเหมาะสมกับความต้องการและความสามารถเพื่อให้เกิดประโยชน์ และ 3) ด้านการมีวิสัยทัศน์เท่าทันการเปลี่ยนแปลง คือ ปรับวิสัยทัศน์ให้ทันสมัย มีความชัดเจนและยืดหยุ่นนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
The purposes of this research were to examine, compare, and determine the relationship, identify the predictive power, and establish guidelines for developing transformational leadership of administrators in the new normal era affecting the effectiveness of teacher performance in the Educational Opportunity Extension Schools under Sakon Nakhon Primary Educational Service Area Office 1. The sample consisted of 300 participants, including 65 administrators and 235 teachers from 65 schools under Sakon Nakhon Primary Educational Service Area Office 1, in the 2024 academic year. The sample size was determined using the Krejcie and Morgan table and selected through multi-stage random sampling. The tools for data collection were questionnaires and interview forms. The questionnaires assessing transformational leadership of administrators in the new normal era had the discriminative power ranging from 0.361 to 0.762 and the reliability of 0.952, and another one measuring the effectiveness of teacher performance had the discriminative power ranging from 0.495 to 0.852 and the reliability of 0.935. Statistics for data analysis were frequency, percentage, mean, standard deviation, t-test for Independence Samples, One-Way ANOVA, Pearson’s product-moment correlation coefficient, and Stepwise multiple regression analysis. The findings were as follows: 1. The transformational leadership of administrators in the new normal era was at a high level overall. 2. The effectiveness of teacher performance was at a high level overall. 3. The transformational leadership of administrators in the new normal era, as perceived by participants’ positions, showed a difference at the .01 level of significance overall, and no difference was found in terms of school location overall. 4. The effectiveness of teacher performance, in terms of positions and school location, showed no difference overall. 5. The transformational leadership of administrators in the new normal era (X) and the effectiveness of teacher performance (Y) had a positive relationship at the .01 level of significance with a high level of correlation (rXtYt=0.753**). 6. The transformational leadership of administrators in the new normal era was able to predict the effectiveness of teacher performance at the .01 level of significance. The said variables comprising technology utilization to support and promote intellectual stimulation (X6), individual consideration in the transition to the new normal era (X3), and having a vision that keeps pace with change (X1), could predict the effectiveness of school administration at 57.40 percent with the standard error of estimate of ±0.290. 7. The proposed guidelines for developing transformational leadership of administrators in the new normal era that affected the effectiveness of teacher performance encompassed three aspects: 1) Technology Utilization to Support and Promote Intellectual Stimulation, by providing training on digital technology skills to stay updated with technology and creating innovations; 2) Individual Consideration in the Transition to the New Normal by recognizing individual differences, and fostering individual development appropriately to suit their needs and abilities to maximize benefits; and 3) Having a Vision that Keeps Pace with Change by adjusting the vision to be modern, clear, and flexible, applying technology to keep up with change.
