การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 2) สร้างรูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลังเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทย 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลัง และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของครูที่มีต่อรูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลังเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ครูสอนวิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มเครือข่ายอุเทนโนนตาล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 จำนวน 8 คน ได้มาโดยอาสาสมัครใจ (Volunteer Sampling) เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามความคิดเห็นในการเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทย 2) รูปแบบการนิเทศและคู่มือการใช้รูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลัง 3) แบบทดสอบวัดความรู้ในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 4) แบบประเมินทักษะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 5) แบบสอบถามความพึงพอใจ และ 6) แบบวัดเจตคติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบกรณีกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มที่ไม่เป็นอิสระกัน (Wilcoxon matched-pairs signed-rank test) ผลการวิจัยพบว่า 1. ความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทย พบว่า สภาพที่มีอยู่จริง เกี่ยวกับสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทยในภาพรวมทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่คาดหวัง เกี่ยวกับสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทย ในภาพรวมทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับมาก 2. รูปแบบการนิเทศที่พัฒนาขึ้นมี 4 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ 3) กระบวนการ และ 4) การวัดและประเมินผลกระบวนการนิเทศมี 5 ขั้น คือ 1) ขั้นสร้างความตระหนัก 2) การวางแผนการนิเทศ 3) ขั้นปฏิบัติการนิเทศ 4) การเรียนรู้สู่การแก้ปัญหา และ 5) การประเมินผลการปฏิบัติและผลการประเมิน ความเหมาะสมของรูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลัง อยู่ในระดับมากที่สุด 3. ผลการใช้รูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลัง มีดังนี้ 3.1 ด้านความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทย หลังทดลองสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3.2 ด้านทักษะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทย หลังทดลองสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ร้อยละ 70 3.3 ด้านเจตคติที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทย หลังทดลองสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4. ครูมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลังเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทย อยู่ในระดับมากที่สุด (x ̅ = 4.92, S.D. = 0.09)
The objectives of this research were to 1) examine the needs for enhancing Thai language teachers competency in active learning management under Nakhon Phanom Primary Educational Service Area Office 2; 2) construct the empowerment supervision model to strengthen Thai language teachers competency in active learning management; 3) examine the effects after the model implementation; and 4) investigate teachers satisfaction with the constructed empowerment supervision model. The research sample, obtained through volunteer sampling, consisted of eight Thai language teachers teaching at Prathomsuksa 3 in Uthen-Nontan Network Group under Nakhon Phanom Primary Educational Service Area Office 2. The research instruments included 1) a set of questionnaires to collect opinions on enhancing Thai language teachers’ competency in active learning management; 2) a supervision model and handbooks for implementing the empowerment supervision model; 3) a knowledge test on active learning management; 4) an assessment of active learning management skills; 5) a satisfaction questionnaire, and 6) an attitude test. Statistics for data analysis included the Wilcoxon matched-pairs signed-rank test, mean, and standard deviation. The findings revealed that: 1. The needs for enhancing Thai language teachers competency in active learning management indicated that current conditions regarding Thai language teachers competency in active learning management were rated overall at a moderate level across all three aspects, while expected conditions were rated overall at a high level across the same aspects. 2. The empowerment supervision model comprised four components: 1) principles, 2) objectives, 3) process, and 4) measurement and evaluation. The supervision process involved five steps: 1) raising awareness, and 2) planning, 3) implementation, 4) learning to solve problems; and 5) performance evaluation. The assessment results indicated that the appropriateness of the empowerment supervision model received the highest rating. 3. The effects after the implementation of the empowerment supervision model revealed that: 3.1 Thai language teachers’ knowledge in active learning management after the intervention was higher than the specified criterion of 70 percent and at the .01 significance level. 3.2 Thai language teachers’ skills in active learning management after the intervention was higher than the established criterion of 70 percent. 3.3 Thai language teachers’ attitudes toward active learning management after the intervention was higher than the established criterion of 70 percent at the .01 significance level. 4. Teachers expressed satisfaction with the developed empowerment supervision model at the highest level (x ̅ = 4.92, S.D. = 0.09).
