การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนา การบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ การวิจัยมีทั้งหมด 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน ประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบและพฤติกรรมบ่งชี้ เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสังเคราะห์องค์ประกอบ และแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 ศึกษาความต้องการจำเป็น กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนและครูปฐมวัย จำนวน 280 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยด้านสภาพที่เป็นจริง มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.60-1.00 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.39-0.91 ค่าความเชื่อมั่น 0.98ส่วนด้านสภาพที่ควรจะเป็นมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.60-1.00 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.38 - 0.92 ค่าความเชื่อมั่น 0.98 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น ระยะที่ 3 ศึกษาแนวทางในการพัฒนา กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามชนิดมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบและพฤติกรรมบ่งชี้การบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของโรงเรียน ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ 27 พฤติกรรมบ่งชี้ ได้แก่ 1) การพัฒนาหลักสูตรและการนำไปใช้ มี 5 พฤติกรรมบ่งชี้ 2) การจัดประสบการณ์ มี 6 พฤติกรรมบ่งชี้ 3) การวัดและประเมินพัฒนาการ มี 5 พฤติกรรมบ่งชี้ 4) การพัฒนาและผลิตสื่อมี 6 พฤติกรรมบ่งชี้ และ 5) การนิเทศภายใน มี 5 พฤติกรรมบ่งชี้ องค์ประกอบการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของโรงเรียนโดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 2. สภาพที่เป็นจริงและสภาพที่ควรจะเป็นของการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของโรงเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3. ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของโรงเรียน มีค่าดัชนีการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น เท่ากับ 0.044 โดยด้านที่มีค่าสูงสุด ได้แก่ การพัฒนาและผลิตสื่อ 4. แนวทางในการพัฒนาการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของโรงเรียน ประกอบด้วย 1 วัตถุประสงค์หลัก 4 ผลลัพธ์หลัก และ 17 แนวทางพัฒนา ซึ่งผลการประเมินแนวทางการพัฒนาโดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุดและมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก
This study aimed to assess the needs of academic administration of early childhood level in schools under Bueng Kan Primary Education Area Office. There were three phases of the study. Phase 1 was to identify the components. The target group was 5 experts to evaluate the propriety of the components and indicative behaviors. The tools used in this phase comprised a synthesis form and a 5-level rating scale questionnaire. Statistics used were frequency, percentage, mean, and standard deviation. Phase 2 was the assessment of the needs. The participants included 280 administrators and early childhood teachers, who were recruited using multi-stage sampling. The tool was a 5-level rating scale questionnaire, which the part of actual state indicated validity index range between 0.60-1.00, discrimination power index ranged between 0.39 - 0.91 and reliability index was at 0.98, whereas the part of desirable state indicated validity index range between 0.60-1.00, discrimination power index ranged between 0.38 - 0.92 and reliability index was at 0.98. Statistics used in data analysis were mean and standard deviation and modified priority needs index. Phase 3 was the development of the guidelines. The target group was 5 experts to evaluate the propriety of the components and indicative behaviors. The results showed that, 1. The elements and behaviors of early childhood academic management in schools consisted of 5 components with 27 indicative behaviors, namely 1) curriculum development and implementation composed of 5 indicative behaviors, 2) experience management composed of 6 indicative behaviors; 3) measurement and evaluation of development composed of 5 behavioral indicators, 4) media production and development composed of 6 indicative behaviors and 5) Internal supervision composed of 5 indicative behaviors. The overall propriety of all components was at high level. 2. The actual state and the desirable state of early childhood academic management in schools, in overall, were at the highest levels. 3. The need to develop early childhood academic management in schools showed the overall priority needs index at 0.044, and showed that the aspect of media production and development obtained the highest level of priority. 4. Guidelines to develop early childhood academic management in composed of 1 objective, 4 key results and 17 development guidelines which showed the propriety at the highest level and the feasibility at high level.
