การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนา การจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ การวิจัยมีทั้งหมด 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบ กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน เพื่อประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบ เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสังเคราะห์องค์ประกอบ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 ศึกษาความต้องการจำเป็น กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 352 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยด้านสภาพที่เป็นจริงมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.60-1.00 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.42-0.89 ค่าความเชื่อมั่น 0.97 และด้านสภาพที่ควรจะเป็นมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.60-1.00 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.43-0.89 ค่าความเชื่อมั่น 0.97 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น ระยะที่ 3 ศึกษาแนวทางในการพัฒนา กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบการจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การหลีกเลี่ยง 2) การประนีประนอม 3) การร่วมมือ 4) การยอมให้ และ 5) การเอาชนะ โดยภาพรวมองค์ประกอบมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 2. สภาพที่เป็นจริงและสภาพที่ควรจะเป็นของการจัดการความขัดแย้ง ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3. ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษามีค่าดัชนีการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น เท่ากับ 0.267 โดยด้านการเอาชนะมีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด 4. แนวทางในการพัฒนาการจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา มี 17 แนวทาง โดยภาพรวมมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก
This study aimed to assess the needs of conflict management of school administrators under Bueng Kan Primary Educational Service Area Office. The study consisted of three phases. Phase 1 was to Identify conflict management components. The target group consisted of five experts, who evaluated the propriety. The tools used in this phase included a synthesis form and a 5-level rating scale questionnaire. Statistics employed were frequency, percentage, mean, and standard deviation. Phase 2 was to assess the needs of conflict management development. The participants consisted of 352 school administrators and teachers, who were selected using multi-stage sampling. The tool was a 5-level rating scale questionnaire, which the part of current state indicated validity index ranged from 0.60–1.00, discrimination power index ranged from 0.42–0.89, and reliability index was at 0.97, whereas the desired state indicated validity index ranged from 0.60–1.00, discrimination power index ranged from 0.43–0.89, and reliability index was at 0.97. Statistics used were mean, standard deviation, and modified priority needs index. Phase 3 was to propose the guidelines for conflict management development. The target group included of five experts, who evaluated the propriety of the proposed guidelines. The tool was a 5-level rating scales questionnaire. Statistics used were mean and standard deviation. The findings showed that, 1. The conflict management of school administrators consisted of five components, namely 1) avoidance, 2) compromise, 3) collaboration, 4) accommodation, and 5) competition. All components were rated at the highest level of propriety. 2. The current and desirable state of conflict management of school administrators, in overall, showed high levels of propriety. 3. The needs of conflict management development showed the overall modified priority needs index at 0.267, and the competition indicated the highest level of the modified priority needs index among the identified components. 4. The guidelines of conflict management development composed of 17 strategies. The strategies, in overall, showed high level of propriety and feasibility.
