การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษา เปรียบเทียบ หาความสัมพันธ์ หาอำนาจพยากรณ์ และแนวทางพัฒนาปัจจัยการบริหารตามแนวคิดวิถีใหม่ที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3 การวิจัยแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาปัจจัยการบริหารตามแนวคิดวิถีใหม่ที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานวิชาการ และครูผู้สอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 324 คน จำแนกเป็น ผู้บริหารสถานศึกษา 74 คน หัวหน้างานวิชาการ 74 คน และครูผู้สอน 176 คน ปีการศึกษา 2567 ได้มาโดยการวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามปัจจัยการบริหารตามแนวคิดวิถีใหม่ มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.755 – 0.930 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.951 และการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.654 – 0.911 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.945 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายแบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแต่ละขั้น ขั้นตอนที่ 2 แนวทางการพัฒนาปัจจัยการบริหารตามแนวคิดวิถีใหม่ที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา ใช้การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัจจัยการบริหารตามแนวคิดวิถีใหม่ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวม อยู่ในระดับมาก 2. การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา โดยรวม อยู่ในระดับมาก 3. ปัจจัยการบริหารตามแนวคิดวิถีใหม่ของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามสถานภาพ และลักษณะการเปิดสอน พบว่า โดยรวมไม่แตกแตกต่างกัน และจำแนกตามขนาดโรงเรียน พบว่า โดยรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4. การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา จำแนกตามสถานภาพ พบว่า โดยรวม ไม่แตกต่างกัน จำแนกตามลักษณะการเปิดสอน พบว่า โดยรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และจำแนกตามขนาดโรงเรียน พบว่า โดยรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 5. ปัจจัยการบริหารตามแนวคิดวิถีใหม่กับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา มีความสัมพันธ์ทางบวก อยู่ในระดับสูง (rxy = 0.812) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 6. ปัจจัยการบริหารตามแนวคิดวิถีใหม่ที่สามารถพยากรณ์การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คือ ด้านโครงสร้างองค์การที่เหมาะสม การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหาร แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน และบรรยากาศและวัฒนธรรมองค์การในการทำงานวิถีใหม่ โดยอำนาจพยากรณ์ได้ร้อยละ 67.00 และมีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการพยากรณ์ เท่ากับ ±0.15039 7. การวิจัยในครั้งนี้ได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาปัจจัยการบริหารตามแนวคิดวิถีใหม่ที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา เสนอแนะไว้ 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านบรรยากาศและวัฒนธรรมองค์การในการทำงานวิถีใหม่ 2) ด้านแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน 3) ด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหาร และ 4) ด้านโครงสร้างองค์การที่เหมาะสม
The purposes of this research were to examine, compare, and determine the relationship, identify the predictive power, and establish guidelines for developing administrative factors based on the new normal affecting the learning organization in schools under Sakon Nakhon Primary Educational Service Area Office 3. The research was divided into two steps: Step 1 studied administrative factors based on the new normal affecting the learning organization in schools, as perceived by 324 participants, including 74 school administrators, 74 heads of academic affairs departments, and 176 teachers in the 2024 academic year. The sample determination was obtained through multi-stage random sampling. The research tool was a set of questionnaires on administrative factors based on the new normal, revealing the discriminative power ranging from 0.755 to 0.930 and the reliability of 0.951, whereas that one on the learning organization in schools, displaying the discriminative power ranging from 0.654 to 0.911 and the reliability of 0.945. Statistics used in data analysis included frequency, percentage, mean, standard deviation, t - test, One - Way ANOVA, Pearson’s product moment coefficient, and Stepwise multiple regression analysis. Step 2 established guidelines for developing administrative factors based on the new normal affecting the learning organization in schools. The findings were as follows: 1. The administrative factors based on the new normal of school administrators were overall at a high level. 2. The learning organization in schools was overall at a high level. 3. The administrative factors based on the new normal of school administrators, as perceived by participants with different positions and types of programs offered showed no overall differences. However, the results differed significantly at the .01 level when considering school sizes. 4. The learning organization in schools, as perceived by participants with different positions, showed no significant differences. However, overall differences were observed regarding the types of programs offered at the .05 level of significance and the .01 level concerning school sizes. 5. The administrative factors based on the new normal and the learning organization in schools had a positive relationship with a high level (rxy = 0.812) at the .01 level of significance. 6. The administrative factors based on the new normal that could predict the learning organization in schools at the .01 level of significance comprised an appropriate organizational structure, the use of digital technology in management, work performance motivation, and the organizational atmosphere and culture conducive to working in the new normal. The predictive power achieved 67.00 percent, with the standard error of estimate of ±0.15039. 7. The proposed guidelines for developing administrative factors based on the new normal affecting the learning organization in schools consist of four aspects: 1) Organizational Atmosphere and Culture Conducive to Working in the New Normal, 2) Work Performance Motivation, 3) Use of Digital Technology in Management, and 4) Appropriate Organizational Structure.
