การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษา เปรียบเทียบ หาความสัมพันธ์ หาอำนาจพยากรณ์ และหาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 65 คน หัวหน้าฝ่ายวิชาการ จำนวน 65 คนและครูผู้สอน จำนวน 65 คน ในปีการศึกษา 2567 รวมทั้งสิ้น 320 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบแบ่งชั้นอย่างเป็นสัดส่วนตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ซึ่งแบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.378 – 0.788 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.915 และแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.410 – 0.776 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.959 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าเอฟ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ การถดถอยพหุคูณทีละขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา โดยรวม อยู่ในระดับมาก 3. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามสถานภาพ พบว่าโดยรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนจำแนกตามประสบการณ์ปฏิบัติงาน พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน 4. ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา จำแนกตามสถานภาพ และประสบการณ์การปฏิบัติงาน พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน 5. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา มีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีความสัมพันธ์ระดับสูง (rXtYt = 0.774**) 6. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา นำมาวิเคราะห์จำนวน 6 ด้าน จำนวน 3 ด้าน ที่สามารถพยากรณ์ ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา คือ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ และด้านการสร้างวิสัยทัศน์ร่วม โดยร่วมกันพยากรณ์ได้ร้อยละ 63.50 และมีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการพยากรณ์ เท่ากับ +.22561 7. แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา จำนวน 3 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ร่วม ผู้บริหารและครูควรทำงานร่วมกันเพื่อกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการปฏิบัติงานเพื่อให้ทุกคนเข้าใจและมีเป้าหมายร่วมกัน 2) ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ ผู้บริหารควรสร้างขวัญและกำลังใจแก่ครูและบุคลากรด้วยการกล่าวคำชมเชย พร้อมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และ 3) ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ผู้บริหารควรเป็นแบบอย่างที่ดี มีความเฉลียวฉลาด และเป็นที่น่ายกย่อง เคารพนับถือ ศรัทธา มีจิตวิญญาณและอุดมการณ์ในการปฏิบัติงานอย่างแน่วแน่
This research aimed to examine, compare, and determine the relationship, identify the predictive power, and establish guidelines for developing transformational leadership among school administrators that impacted the effectiveness of academic affairs administration in Educational Opportunity Expansion Schools under Sakon Nakhon Primary Educational Service Area Office 1. The sample consisted of 320 participants, including 65 school administrators, 65 heads of academic departments, and 190 teachers from the 2024 academic year. The sample size was determined using the Krejcie and Morgan table and selected through stratified random sampling based on school sizes. Research tools include sets of questionnaires and interview forms. The set of questionnaires on transformational leadership had discriminative power values ranging from 0.378 to 0.788 and the reliability of 0.915, while the one on the effectiveness of academic affairs administration had discriminative power values ranging from 0.410 to 0.776 and the reliability of 0.959. Statistics for data analysis include frequency, percentage, mean, standard deviation, One-Way ANOVA F-test, Pearson's product-moment correlation coefficient, and Stepwise multiple regression analysis. The research findings revealed that: 1. The transformational leadership of school administrators was at a high level overall. 2. The effectiveness of academic affairs administration was also at a high level overall. 3. The transformational leadership of school administrators showed significant differences at the .01 level of significance in terms of status. However, when categorized by work experience, no significant differences were found overall. 4. The effectiveness of academic affairs administration did not differ significantly when categorized by status or work experience. 5. There was a significant positive correlation between the transformational leadership of school administrators and the effectiveness of academic affairs administration at the .01 level of significance, with a high level of correlation (rXtYt = 0.774**). 6. Among the six aspects of transformational leadership analyzed, three aspects predicted the effectiveness of academic affairs administration. These aspects, namely inspiration motivation, idealized influence, and shared vision, significantly predicted the effectiveness of academic affairs administration, accounting for 63.50 percent, with the standard error of estimate of ± 0.22561. 7. The guidelines for developing transformational leadership among school administrators affecting the effectiveness of academic affairs administration included three key aspects: 1) Shared Vision: Administrators and teachers should collaborate to establish clear and shared goals, ensuring everyone understands and have shared goals; 2) Inspiration Motivation: Administrators should enhance morale by regularly recognizing and praising teachers and personnel contributions, while also fostering knowledge and experience exchange; and 3) Idealized Influence: Administrators should serve as good role models, demonstrate intelligence, and be admirable, respected, and trusted. They should also possess a strong spirit and commitment to their work.
